Wednesday, June 1, 2016

สยองมาก สาวพึ่งยาทาหวังรักษามะเร็งผิวหนัง สุดท้ายกินเนื้อจมูกโบ๋เป็นรู




         เปิดเคสมะเร็งผิวหนังสุด สยอง เมื่อหญิงพบตัวเองมีมะเร็งผิวหนังที่จมูก แต่ไม่เชื่อการรักษาตามหมอแนะ หายาทามาใช้เอง สุดท้ายยากัดกินเนื้อจนจมูกเป็นหลุม มีรูโบ๋กลางหน้า

          เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2559 เว็บไซต์เดลี่เมล หยิบเรื่องราวสาระเตือนใจชวนสะพรึงมาฝากกัน เป็นเรื่องราวของหญิงรายหนึ่งที่ถูกแพทย์วินิจฉัยพบมะเร็งผิวหนังชนิดเบซา ลเซลล์ (Basal Cell Carcinoma) ขึ้นที่จมูก อันเป็นมะเร็งชนิดเกิดขึ้นกับเยื่อบุผิวและสามารถพบได้บ่อย และได้แนะนำให้เธอรักษาด้วยวิธี Moh (Micrographic Surgery) ที่จะลอกชั้นผิวที่มีมะเร็งออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเหลือเหลือแต่ผิวที่ไร้มะเร็ง แต่หญิงรายนี้กลัวจะมีแผลเป็นบนใบหน้า จึงไม่ได้รักษาตามแพทย์แนะนำ แต่กลับไปหายาสารสกัดสมุนไพรมาใช้เอง ทว่าทาไปทามา ตัวยากลับกัดกินเนื้อเธอแหว่งหายเป็นรูโบ๋

 
          โดยยาทาที่เธอใช้ เรียกว่า black slave เป็นยารักษาโรคผิวหนังพวกกำจัดไฝ มะเร็งผิวหนัง ซึ่งมีตัวยา sanguinarine สกัดจากต้น bloodroot และมักผสมซิงก์ คลอไรด์ เมื่อทาแล้วมีฤทธิ์กัดกร่อนผิวหนัง

  
           หญิงผู้นี้เผยว่า เธอได้ทามันลงที่จมูกและอีกจุดหนึ่งตรงหน้าผากซึ่งเป็นมะเร็งผิวชนิดเดียว กันนี้ด้วย แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน ผิวหนังของเธอก็บวมแดงอย่างหนัก หน้าบวมจนตาปิด เธอกินทั้งยาแก้แพ้และยาแก้ปวดชนิดออกฤทธิ์แรงเพื่อประคองอาการ พร้อมขอคำปรึกษาว่าควรยอมแพ้แล้วไปพบแพทย์หรือไม่ หลังจากนั้นต่อมา เธอก็โพสต์ภาพมีสะเก็ดแผลสีดำแผ่นใหญ่ขึ้นที่กลางจมูกและหน้าผาก และก็อัพเดทอาการเรื่อย ๆ จนกระทั่งสะเก็ดที่น่าเกลียดนั้นเปื่อยหลุดออกเกือบหมด ภายใต้สะเก็ดนั้นไม่เหลือเนื้อใด ๆ ที่จะเจริญกลับมาได้อีกแล้ว มันกลายเป็นหลุมลึกโบ๋

 
          เมื่อสะเก็ดสีดำน่าเกลียดหลุดหายไป คราวนี้จึงมองเห็นความเสียหายอย่างชัดเจน หลุมนั้นโบ๋จนมองเห็นผนังกั้นช่องจมูก ถึงขนาดที่เธอบอกว่า แม้จะอุดจมูกไว้ แต่อากาศก็ยังไหลผ่านรูโบ๋นั้นได้

          หลังรับผลสุดสะพรึงกับการรักษา มะเร็งด้วยตัวเอง หญิงคนดังกล่าวก็ได้เข้าพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง และแน่นอนว่าเข้ารบทำศัลยกรรมตกแต่งจมูกของเธอด้วย

  
             ทั้งนี้ยา black slave ที่เธอใช้ เคยนิยมใช้กันในวงกว้างในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 แต่ในปัจจุบันองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ได้ขึ้นบัญชีมันเป็นยารักษามาเร็งปลอม และพยายามแบนยาตัวตัวดังกล่าว ขณะที่สมาคมโรคผิวหนังในอังกฤษชี้ว่า ไม่มีหลักฐานใด ๆ ยืนยันว่ามันรักษามะเร็งผิวหนังได้จริง

                                                                                         
            เรื่องราวของหญิงคนดังกล่าว เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2555 ซึ่งเธอได้เข้าไปตั้งกระทู้ปรึกษาและบอกเล่าการรักษาด้วยตัวเองไว้ใน เว็บบอร์ดเกี่ยวกับมะเร็งผิวหนัง topicalinfo กระทั่งปีทีผ่านมา แชนแนล World's Greatest Medical - Case Studies ในยูทูบได้รวบรวมเรื่องและภาพของเธอทำเป็นคลิปเตือนใจ ซึ่งจนบัดนี้มีผู้คลิกเข้าชมมากกว่า 3.6 ล้านครั้งแล้ว

http://hilight.kapook.com/view/137541

No comments:

Post a Comment