Wednesday, May 24, 2017

หญิงซื้อแหวนเพชรถูก ๆ จากตลาดนัด ใครจะรู้ว่ามันมีมูลค่าจริงถึง 15 ล้าน




       บุญหล่นทับจริง ๆ หญิงเอาแหวนเพชรเก่า ที่ซื้อจากตลาดเปิดท้ายไปขาย หวังได้เงินนิด ๆ หน่อย ๆ ที่ไหนได้กลับกลายเป็นเพชรแท้สมัยโบราณ มูลค่าสูงถึงกว่า 15.6 ล้าน !

        เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2560 สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า หญิงชาวอังกฤษคนหนึ่งเอาแหวนเพชรเก่าราคา 10 ปอนด์ (ราว 580 บาท) ของตัวเองไปขาย เธอหวังว่าคงจะได้เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ มาใช้ แต่แล้วก็ต้องช็อกอย่างยิ่ง เมื่อช่างเพชรกล่าวว่าแหวนเพชรวงนี้เป็นแหวนเก่าแก่จากศตวรรษที่ 19 และมูลค่าของมันอาจสูงมากกว่า 15.6 ล้านบาท

       หญิงผู้เป็นเจ้าของ (ไม่เปิดเผยนาม) ซื้อแหวนเพชรล้ำค่าวงนี้มาจากตลาดนัดเปิดท้ายในช่วงทศวรรษที่ 80 เธอไม่คิดเลยแม้แต่น้อยว่ามันจะมีมูลค่ามหาศาล รู้แค่ว่ามันเป็นแหวนที่สวยมากวงหนึ่ง เธอชอบมันมากและมักจะสวมมันติดตัวอยู่เสมอ ไม่ว่าจะตอนออกไปช้อปปิ้ง ไปเดินเล่น หรือไปทำธุระ โดยสวมมาทุกวันเป็นเวลานานกว่า 30 ปี

        และหลังจาก 30 ปีที่อยู่ด้วยกันมา หญิงคนนี้ก็ตัดสินนำแหวนไปขาย โดยเธอไปที่ร้านเพชรแห่งหนึ่งในละแวกบ้านเพื่อให้ช่างตีมูลค่า โดยช่างกล่าวว่าเพชรทรงคุชชั่นสีขาวบนแหวนวงนี้น่าจะเป็นเพชรแท้อย่างแน่นอน แต่พวกเขาไม่สามารถประเมินมูลค่าที่แท้จริงของมันได้ เจ้าของแหวนจึงนำมันไปให้เจ้าผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ

        ผู้เชี่ยวชาญพบว่าแหวนเพชรวงนี้น่าจะมีอายุนับย้อนไปได้ถึงคริสตศตวรรษที่ 19 มันเป็นเพชรสไตล์โบราณที่มีการเจียระไนเป็นรูปทรงที่ต่างจากเพชรในยุคนี้ เพชรบนแหวนเป็นเพชรแท้ มีขนาด 26.27 กะรัต โดยมูลค่าของมันน่าจะอยู่ที่ประมาณ 350,000 ปอนด์ หรือราว 15.6 ล้านบาท และเธอจะประมูลขายมันผ่านบริษัทซอเธอบี (บริษัทประมูล) ในวันที่ 7 มิถุนายน 2560

        ด้านเจ้าของแหวนเพชรล้ำค่าดังกล่าว เปิดเผยว่า เธอตื่นเต้นอย่างมากที่รับรู้ความจริงว่าแหวนเพชรเก่า ๆ ของเธอแท้จริงแล้วเครื่องประดับล้ำค่าจากสมัยก่อน และเธอคิดไม่ถึงเลยว่าชีวิตของเธอจะโชคดีได้ขนาดนี้ ซึ่งเงินที่ได้จากการประมูลเพชรนั้น มันจะเป็นจำนวนเงินมหาศาลที่เปลี่ยนชีวิตเธอเลยทีเดียว

        "ที่ฉันเอามันไปขาย เพราะคิดขึ้นมาว่ามันอาจจะเป็นของจริงก็ได้ แต่ฉันไม่รู้เลยว่ามันมีมูลค่ามากขนาดนี้เลยค่ะ " เจ้าของแหวนเพชรผู้โชคดี กล่าว

ภาพจาก sothebys.com
ข้อมูลจาก standard.co.uk
https://hilight.kapook.com/view/153915


Saturday, May 20, 2017

ชาวสวนเวลส์คิดค้นพริกเผ็ดสุดในโลก เผ็ดร้อนทะลุทุกสถิติ รุนแรงถึงชีวิต




       ชาวสวนในเวลส์คิดค้นสายพันธุ์พริกที่เผ็ดที่สุดในโลกได้โดยบังเอิญ ตั้งชื่อ ลมหายใจมังกร ชี้เผ็ดทะลุทุกอันดับ ไม่สามารถรับประทานได้ เพราะอันตรายถึงชีวิต

          เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2560 สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า ไมค์ สมิธ ชาวสวนในเซนต์ อะซาฟ เมืองทางตอนเหนือของประเทศเวลส์ สามารถเพาะพันธุ์พริกที่เผ็ดร้อนมากที่สุดในโลกได้ด้วยความบังเอิญ มันมีค่าความเผ็ดอยู่ที่ 2.4 ล้านสโควิลล์ นับว่าสูงที่สุดเหนือสายพันธุ์พริกทุกชนิดในโลก แม้แต่คาโรไลนา รีปเปอร์ เจ้าของสถิติเดิมก็ไม่เผ็ดร้อนแรงเท่าพริกสายพันธุ์ใหม่ล่าสุดนี้


            สุดยอดพริกชนิดนี้ได้รับการขนามว่า ลมหายใจมังกร หรือ Dragons's Breath จุดเริ่มต้นของมันนั้นมีที่มาจากการร่วมมือระหว่างไมค์กับทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยน็อตติงแฮม เทรนต์ ในโปรเจคท์พัฒนาสายพันธุ์พืชชนิดใหม่ และพริกตัวนี้คือผลจากการทดลองของพวกเขา

            ตลอดชีวิตกว่า 8 ปีในการคลุกคลีกับพืชผักนั้น ไมค์ไม่เคยปลูกพริกอย่างจริง ๆ จัง ๆ มาก่อน และตัวเขาเองก็ไม่รับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดอีกด้วย แต่พริกสายพันธุ์ใหม่ของเขานั้นคือการค้นพบครั้งสำคัญ มันถูกนำไปเสนอในงานแสดงพืชพรรณของสมาคมเกษตรกรรมแห่งลอนดอน และคาดว่ามันน่าจะได้รับรางวัลสุดยอดผลผลิตแห่งปีไปครอง


         พริกชนิดนี้มีลำต้นความสูงประมาณ 1 เมตร ผลิตผลที่ได้เป็นพริกเม็ดเล็กหน้าตาไร้พิษสงแต่มีความเผ็ดร้ายกาจ โดยไมค์กล่าวว่า เขาทดลองชิมมันโดยกัดไปคำหนึ่งแล้วรีบคายทิ้ง สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือความเผ็ดร้อน เขารู้สึกเหมือนลิ้นถูกไฟเผา และมันรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เผ็ดร้อนอยู่แบบนั้นนานถึงครึ่งชั่วโมง

          แน่นอนว่าความเผ็ดร้อนในระดับนี้ทำให้มันไม่สามารถรับประทานได้ ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ไว้ว่า ถ้าหากผู้ใดเคี้ยวและกลืนพริกชนิดนี้เข้าไป ผู้นั้นสามารถเกิดภาวะแอแนฟิแล็กซิส หรือปฏิกิริยาภูมิแพ้รุนแรงเฉียบพลัน ความเผ็ดร้อนจะแทรกซึมไปทั่วระบบทางเดินอาหารและระบบเดินหายใจ และมันเป็นอันตรายถึงชีวิต


          แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น พริกชนิดนี้คาดว่าจะมีประโยชน์อย่างยิ่งในทางการแพทย์ โดยไมค์คาดหวังว่ามันจะถูกนำไปพัฒนาต่อยอด โดยสกัดให้เป็นน้ำมันยาชาสำหรับผู้ป่วยที่ยากไร้หรือผู้ป่วยที่มีอาการแพ้ยาชาชนิดปกติ

 
          ไมค์ได้ส่งมันไปขึ้นทะเบียนกับกินเนส เวิล์ด เรคคอร์ด ในฐานพริกที่เผ็ดร้อนที่สุดในโลกแล้ว ซึ่งถ้าหากได้รับการพิจารณา มันก็จะครองแชมป์พริกที่เผ็ดร้อนที่สุดในโลกอย่างเป็นทางการโดยทันที


ภาพจาก dailypost.co.uk
ข้อมูลจาก dailypost.co.uk, telegraph.co.uk
https://hilight.kapook.com/view/153723

Friday, May 12, 2017

ซาตานในคราบมนุษย์ คู่รักสูงวัยจับเด็ก 5 คนขังห้องใต้ดิน-ทรมานสารพัดร่วม 30 ปี




            เผยคดีสุดสะเทือนใจของคู่รักใจโหดวัย 70  จับเด็ก 5 คนขังห้องใต้ดิน แถมทรมานสารพัดเยี่ยงคนโรคจิต นานร่วม 30 ปี เจอข้อหา ทารุณกรรมหน่วงเหนี่ยว เลี้ยงดูบกพร่องและโหดเหี้ยม

            เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2560 เว็บไซต์เดลี่เมล เปิดเผยรายงานคดีของ วาเลอรี สแตนนาร์ด วัย 73 ปี และรอย สามีวัย 74 ปี คู่รักสูงวัยใจคอแสนโหดเหี้ยม ที่ได้จับเด็ก 5 คน ขังห้องใต้ดินปิดล็อกเสมือนคุก คอยเฝ้าดูและทรมานทารุณกรรมสารพัดมานานร่วม 30 ปี โดยล่าสุดทั้งคู่ถูกศาลตัดสินจำคุก 9 และ 12 ปี ตามลำดับ

            จากรายงานระบุว่า เด็กทั้งหมดใช้ชีวิตเกือบทั้งหมดของชีวิตอาศัยอยู่ที่ห้องใต้ดินซอมซ่อปิดล็อกในบ้านที่อยู่ในเขตสโตก นิววิงตัน ทางตอนเหนือของกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร โดยที่ภายในห้องใต้ดินนั้น พวกเขามักจะถูกเฆี่ยนตีด้วยกระบอกไม้ไผ่หรือเข็มขัด โดยเด็กที่อายุน้อยที่สุดยังคงเป็นแค่เด็กน้อยวัยเตาะแตะ พอเด็กร้องไห้ก็ถูกจับมัดไว้กับเก้าอี้สูงของเขา และล็อกขังไว้ในตู้กับสุนัขที่วาเลอรีและรอยเลี้ยงไว้

            วาเลอรี จะขีดเส้นกำกับไว้ที่ขวดนมของเด็ก ๆ เพื่อระบุว่าพวกเขาดื่มไปมากเท่าใดแล้ว และเธอก็จะจัดการทุบตีพวกเขาหากดื่มเกินกว่าที่กำหนดไว้ นอกจากนี้รอยยังเคยส่งให้เด็ก ๆ เหล่านี้ออกไปขโมยของจากที่ต่าง ๆ มาเพื่อให้ตนเองนำไปขายตามตลาดนัดแผงลอย และเขายังเคยปลดเปลื้องผ้าของเด็กหญิงในกลุ่มเหยื่อ เพื่อล่วงละเมิดทางเพศรวม 6 ครั้งด้วยกัน

            เหยื่อรายหนึ่งที่ถูกใช้งานเยี่ยงคนใช้ ต้องทำทุกอย่างตามที่เวอลารีและรอยสั่ง หากทำไม่ถูกใจจะถูกลงโทษอย่างหนัก ขณะที่เหยื่อเด็กรายหนึ่งเผยว่า วาเลอรีและรอยมักจะบังคับให้พวกตนกลืนสบู่ก้อนลงคอ และยังถูกบังคับให้ดูเด็กคนอื่นถูกทรมานด้วย "พวกเราไม่ได้ใช้ชีวิต แค่เพียงมีชีวิตอยู่รอดไปวัน ๆ" เหยื่อรายหนึ่ง กล่าว

            เหยื่อเด็กชายรายหนึ่งเผยว่า เขาเคยถูกจับได้ว่าแอบกินขนมปังแผ่นตอนกลางคืน เวอลารีจึงจัดการพาเด็กทุกคนออกจากเตียงนอนเข้ามาในครัว จากนั้นได้จับมือ 2 ข้างของเด็กชาย เหวี่ยงไปเหนือเตาที่จุดไฟ พร้อมกับกล่าวว่า นี่คือสิ่งที่โจรสมควรได้รับ เด็กชายกรีดร้องด้วยความทรมาน นอกจากนี้ยังหยิบกระดาษหนังสือพิมพ์ขยำยัดใส่เข้าไปในชุดนอนของเด็กชายและจุดไฟเผา ขณะเดียวกันรอย ก็ได้ต่อยเหยื่อเด็กวัยหนุ่มรายหนึ่งอย่างเต็มแรง ราวกับว่ากำลังทะเลาะอยู่กับชายรุ่นเดียวกัน

            วาเลอรีและรอย ถูกจับกุมได้เมื่อเดือนกรกฎาคม 2557 การตัดสินพิจารณาคดีดังกล่าวใช้เวลาประมาณ 1 เดือน เพื่อรวบรวมข้อมูลหลักฐานสุดน่าสลดสะเทือนใจจากเหยื่อ ที่บอกเล่าเหตุการณ์สุดแสนทรมานที่ถูกกระทำโดยฝีมือของซาตานในคราบมนุษย์ทั้ง 2 ราย โดยทาง แซลลี-แอน เฮลส์ อัยการผู้ฟ้องร้อง ระบุว่า การกระทำของวาเลอรีและรอย เข้าข่ายทารุณกรรมหน่วงเหนี่ยว บกพร่องในการดูแล และเป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมไร้ซึ่งความเมตตา และกรณีของรอยมีเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศเด็กหญิง 2 ราย มาเกี่ยวข้องด้วย

            แซลลี-แอน กล่าวว่า "พวกเด็ก ๆ ต้องอยู่อย่างหวาดกลัว โดยไม่สามารถลุกขึ้นมาพูดหรือเรียกร้องอะไรเพื่อตัวเองหรือคนอื่น ๆ ได้ พวกเขาไม่เคยได้กินอาหารที่เหมาะสม แต่เมื่อครั้งที่เจ้าหน้าที่บริการสังคมมาตรวจเยี่ยมบ้าน พวกเขาก็จะแสร้งทำเหมือนทุกอย่างเป็นปกติดี แม้กระทั่งพวกเด็กไม่ได้ทำอะไรผิด ทั้งคู่ก็จะหาเหตุผลมาทุบตีพวกเขาจนได้"

            ขณะที่รอยปฏิเสธข้อกล่าวหาการล่วงละเมิดทางเพศ โดยอ้างว่าตนล่วงเลยวัยที่มีอารมณ์ใคร่มานานมากแล้ว ทั้งนี้ด้านทนายความของทั้งคู่ก็ได้ปกป้องเวอลารีและรอยด้วยการกล่าวว่าทั้งคู่มีอายุมากและมีปัญหาด้านสุขภาพ วาเลอรีป่วยเป็นโรคหอบหืดและมีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง และมีแนวโน้มว่าการใช้ชีวิตในคุกจะเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับทั้งคู่

            วาเลอรีและรอย ถูกพิจารณาโทษทั้งหมด 18 ข้อหา จากทั้งหมด 22 ข้อหา อันเกี่ยวข้องกับการทารุณกรรมและล่วงละเมิดทางเพศเด็ก ตั้งแต่ปี 2512-2528 วาเลอรีต้องโทษจำคุกทั้งหมด 9 ปี และรอย 12 ปี โดยในขณะนี้ทั้งคู่ถูกกักขังอยู่ที่บาจ เลน เขตโบว์ ทางสุดฝั่งตะวันตกของกรุงลอนดอน และปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา


ภาพจาก Metropolitan Police
https://hilight.kapook.com/view/153314

Thursday, May 11, 2017

รุดช่วยตูบถูกล่ามทิ้งไว้ในบ้านกว่า 5 ปี หลังเจ้าของถูกฆ่า จนตัดสินใจกัดเท้าตัวเองทิ้ง




         สุดเวทนา...ตูบถูกล่ามทิ้งไว้ในบ้านร้างกว่า 5 ปี หลังเจ้าของถูกฆ่า ถูกเชือกรัดเท้าจนเป็นแผล เจ็บปวดหนักจนตัดสินใจกัดเท้าตัวเองทิ้ง หวังได้เป็นอิสระจากพันธนาการ

          วันที่ 10 พฤษภาคม 2560 เว็บไซต์เดลี่เมล ได้เปิดเผยเรื่องราวชวนสะเทือนใจของ เจ้าเทรย่า สุนัขเพศเมียที่ต้องทนทุกข์ใช้ชีวิตอยู่อย่างทรมานจากการถูกล่ามเชือก และปล่อยทิ้งไว้ในบ้านร้างเป็นเวลานานกว่า 5 ปี เนื่องจากเจ้าของมันถูกฆาตกรรมไปตั้งแต่ 5 ปีก่อน


             นอกจากต้องใช้ชีวิตอย่างหงอยเหงาตามลำพังที่ห้องบนดาดฟ้า ไม่สามารถออกไปไหนได้ ต้องอาศัยความเมตตาจากเพื่อนบ้านที่นำอาหารมาให้มันเป็นครั้งคราว รวมถึงนำหญ้าแห้งมาปูให้มันพอแก้หนาวได้ เจ้าเทรย่ายังต้องทนเจ็บปวดจากบาดแผลรอบ ๆ ข้อเท้า อันเกิดจากเชือกที่รัดเท้ามันแน่นขึ้นทุกวัน


                เมื่อความเจ็บปวดมาถึงขีดสุด สุนัขเพศเมียตัวนี้ก็ไม่มีทางเลือกและตัดสินใจแทะ กัดอุ้งเท้าของตัวเองออกเพื่อหนีออกจากเชือกที่ล่ามขามันไว้ ทิ้งบาดแผลรุนแรงที่ข้อเท้าของมัน ซึ่งนั่นทำให้เพื่อนบ้านที่คอยมาดูแลมันตัดสินใจโทร. เรียกตำรวจ ให้ประสานศูนย์พักพิงสัตว์สเตร์เรสคิว ของเมืองเซนต์หลุยส์ ของรัฐมิสซูรี สหรัฐฯ ให้รีบเข้ามารับตัวเจ้าเทรย่าไปอยู่ในการดูแล


                 ด้าน แรนดี้ กริม จากศูนย์พักพิงสัตว์สเตร์เรสคิว เผยว่า ไม่มีใครทราบว่าเหตุใดเพื่อนบ้านจึงไม่รีบแจ้งเจ้าหน้าที่นับตั้งแต่ตอนที่พบเจ้าเทรย่า หรือติดต่อมาตั้งแต่ 5 ปีก่อน ตอนที่รู้ว่าเจ้าของสุนัขเสียชีวิตไปแล้ว ในตอนนี้ทางหน่วยงานของเธอรับสุนัขตัวนี้มาดูแล พบว่านอกจากบาดแผลบริเวณอุ้งเท้าที่ต้องรักษา มันยังทรมานจากโรคพยาธิหนอนหัวใจและการติดเชื้อรุนแรงที่ผิวหนัง


                     หลังจากต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวมานานหลายปี ทำให้เจ้าเทรย่าหวาดกลัวการมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ อย่างไรก็ตามตอนนี้มันได้รับโอกาสที่สองในชีวิตแล้ว ตอนนี้มันได้อยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ที่พร้อมจะดูแลและพยายามทำให้มันคุ้นเคยกับสุนัขตัวอื่น ๆ ไปพร้อม ๆ กับการรักษาโรคต่าง ๆ ที่มันต้องเผชิญ


                     ขณะที่ทางศูนย์พักพิงสัตว์เองก็หวังจะระดมเงินเพื่อซื้อขาเทียมให้กับมันด้วย โดยคาดว่าค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดรวมถึงขาเทียมจะมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 104,000 บาท) โดยแรนดี้เผยว่า สุนัขตัวนี้มีบาดแผลทางอารมณ์และทางร่างกายอย่างมาก ความคิดที่ว่ามันต้องแทะขาตัวเองทิ้งเพื่อความอยู่รอด ยังหลอกหลอนใจของคนที่ศูนย์ แต่ตอนนี้มันจะได้รับโอกาสมีชีวิตใหม่ที่ไม่ต้องถูกล่ามไว้อย่างที่เป็นมา ได้ใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์ สุนัขตัวอื่น ๆ และได้มีความหวังอีกครั้งแล้ว

https://pet.kapook.com/view171087.html