เมอร์เทิล
คอร์บิน มนุษย์ประหลาดเกิดมามี
4 ขา งอกห้อยต่องแต่งอยู่ระหว่างขาปกติทั้งสองข้าง
แต่ขากลางนี้ไม่สามารถใช้การได้ หลังถือกำเนิดพร้อมภาวะแฝดปรสิตที่เรียกว่า Dipygus
หากพูดถึงแฝดที่มีความประหลาดชวนพิศวง หลายคนอาจนึกถึงฝาแฝดที่มีร่างกายติดกัน เช่น แฝดอิน-จัน อันโด่งดังของไทยเรา หรือแฝดคู่อื่นที่มีร่างกายเดียว แต่ศีรษะกลับแยกออกเป็นสอง แต่วันนี้กระปุกดอทคอม จะพาท่านผู้อ่านไปรู้จักกับแฝดอีกแบบหนึ่งที่เรียกว่า แฝดปรสิต (Parasitic Twins)
หากพูดถึงแฝดที่มีความประหลาดชวนพิศวง หลายคนอาจนึกถึงฝาแฝดที่มีร่างกายติดกัน เช่น แฝดอิน-จัน อันโด่งดังของไทยเรา หรือแฝดคู่อื่นที่มีร่างกายเดียว แต่ศีรษะกลับแยกออกเป็นสอง แต่วันนี้กระปุกดอทคอม จะพาท่านผู้อ่านไปรู้จักกับแฝดอีกแบบหนึ่งที่เรียกว่า แฝดปรสิต (Parasitic Twins)
แฝดปรสิตมีหลากหลายประเภทมาก แต่ที่เรานำมาให้ท่านผู้อ่านชมกัน
เป็นเรื่องราวของหญิงสาวที่ชื่อว่า เมอร์เทิล คอร์บิน ผู้ถือกำเนิดพร้อมขาถึง 2 คู่ หรือ 4 ขา โดยเมอร์เทิลมีขาตามปกติครบทั้ง 2
ข้าง แต่ที่ประหลาดคือเธอมีขางอกออกมาอีกหนึ่งคู่ ที่บริเวณหว่างขาคู่ปกติพอดีเป๊ะ
ซึ่งขาที่งอกออกมานั้นมีขนาดเล็กราวกับมีเด็กอีกคนอยู่ภายในตัว ใช่แล้ว...ขาคู่นั้นคือขาของแฝดปรสิตชนิด
Dipygus นั่นเอง
แฝดปรสิต Dipygus คือแฝดที่ใช้อวัยวะภายในร่วมกัน แต่แฝดประเภทนี้จะมีแขนหรือขาที่พัฒนาไม่สมบูรณ์ อยู่ติดกับช่วงเชิงกรานหรือกระดูกสันหลังตอนล่าง และไม่สามารถขยับตัวได้ แฝดชนิดนี้ไม่มีสมองและหัวใจเป็นของตัวเอง
เมอร์เทิล คอร์บิน เกิดเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1868 ในสหรัฐอเมริกา ชีวิตวัยเด็กของเธอเต็มไปด้วยการเดินทางตระเวนโชว์ หลังจากเธอถูกพาเข้าคณะละครสัตว์ชื่อ Freak Show โดยใช้ชื่อว่า เด็กหญิงสี่ขาจากเทกซัส ความประหลาดผิดมนุษย์ทำให้เด็กหญิงโด่งดังอย่างรวดเร็ว
แฝดปรสิต Dipygus คือแฝดที่ใช้อวัยวะภายในร่วมกัน แต่แฝดประเภทนี้จะมีแขนหรือขาที่พัฒนาไม่สมบูรณ์ อยู่ติดกับช่วงเชิงกรานหรือกระดูกสันหลังตอนล่าง และไม่สามารถขยับตัวได้ แฝดชนิดนี้ไม่มีสมองและหัวใจเป็นของตัวเอง
เมอร์เทิล คอร์บิน เกิดเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1868 ในสหรัฐอเมริกา ชีวิตวัยเด็กของเธอเต็มไปด้วยการเดินทางตระเวนโชว์ หลังจากเธอถูกพาเข้าคณะละครสัตว์ชื่อ Freak Show โดยใช้ชื่อว่า เด็กหญิงสี่ขาจากเทกซัส ความประหลาดผิดมนุษย์ทำให้เด็กหญิงโด่งดังอย่างรวดเร็ว
เมอร์เทิลเลิกประกอบอาชีพนี้เมื่อตอนอายุ
19 ปี หลังพบรักกับ เจมส์ คลินตัน บิคเนลล์
ทั้งคู่แต่งงานกันและมีลูกด้วยกันถึง 5 คนเลยทีเดียว
แต่ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1887 หลังจากที่เมอร์เทิลและเจมส์แต่งงานกันได้ราวปีเศษ เมอร์เทิลตั้งท้องลูกคนแรก เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องน่าสนใจมากสำหรับวงการแพทย์ในยุคนั้น ดร.เลวิส วัลลีย์ จากรัฐแอละแบมา ถูกส่งตัวมาเพื่อดูแลสุขภาพของเมอร์เทิลขณะตั้งครรภ์ หลังเธอมีไข้ เบื่ออาหาร ปวดศีรษะ และเจ็บร่างกายฝั่งซ้ายมาก
ดร.เลวิส เริ่มบันทึกอาการของเมอร์เทิลและตีพิมพ์เป็นวารสารชื่อ Atlanta Medical and Surgical Journal ระหว่างการรักษาและศึกษาร่างกายของเมอร์เทิล พวกเขาเรียกแฝดปรสิตของเธอว่า นางสาวบี
แต่ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1887 หลังจากที่เมอร์เทิลและเจมส์แต่งงานกันได้ราวปีเศษ เมอร์เทิลตั้งท้องลูกคนแรก เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องน่าสนใจมากสำหรับวงการแพทย์ในยุคนั้น ดร.เลวิส วัลลีย์ จากรัฐแอละแบมา ถูกส่งตัวมาเพื่อดูแลสุขภาพของเมอร์เทิลขณะตั้งครรภ์ หลังเธอมีไข้ เบื่ออาหาร ปวดศีรษะ และเจ็บร่างกายฝั่งซ้ายมาก
ดร.เลวิส เริ่มบันทึกอาการของเมอร์เทิลและตีพิมพ์เป็นวารสารชื่อ Atlanta Medical and Surgical Journal ระหว่างการรักษาและศึกษาร่างกายของเมอร์เทิล พวกเขาเรียกแฝดปรสิตของเธอว่า นางสาวบี
และเรื่องสุดน่าทึ่งก็ปรากฏ เมื่อ ดร.เลวิส ตรวจสอบร่างกายแล้วพบว่า คนที่ตั้งครรภ์ไม่ใช่เมอร์เทิล แต่เป็นนางสาวบีต่างหาก ! แน่นอนว่าเมอร์เทิลมีอวัยวะเพศ แต่น่าตกใจที่นางสาวบีเองก็มีอวัยวะสืบพันธุ์อยู่ภายในเช่นกัน เพียงแต่มันกลับด้านเหมือนกับถูกส่องกระจก โดยยังคงระบบสืบพันธุ์เอาไว้อย่างครบถ้วนไม่มีผิดเพี้ยนเสียด้วย
การตั้งครรภ์ลูกคนแรกในร่างของนางสาวบีทำให้เมอร์เทิลป่วยหนัก และเธอตัดสินใจทำแท้งใน
8 สัปดาห์ให้หลัง แต่เธอก็ตั้งครรภ์อีกในราว 3-4 เดือนหลังจากนั้น คราวนี้เมอร์เทิลให้กำเนิดทารกน้อยน่ารักได้ และเธอมีลูกเพิ่มอีกถึง
4 คน รวมแล้วเมอร์เทิลมีทายาทถึง 5 คน
เป็นเด็กหญิง 4 ราย และเด็กชาย 1 ราย
ในวาระสุดท้ายของชีวิต เมอร์เทิลและนางสาวบีก็ยังคงอยู่ร่วมกันมาโดยตลอด จนกระทั่งเมอร์เทิลสิ้นใจตาย ในวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1928 หลังวันเกิดอายุครบ 60 ปี ได้เพียง 6 วัน ด้วยภาวะติดเชื้อสเตร็ปโตค็อกคัสที่ผิวหนัง (Streptococcal skin infection)
ขอบคุณข้อมูลจาก wikipedia.org
ภาพจาก Wikipedia, picturahistoria, ReelNostalgia
http://hilight.kapook.com/view/134251
No comments:
Post a Comment