พบกล่องไม้บรรจุลูกเสือไซบีเรียน
3
ตัว ทิ้งในสนามบินเลบานอน สภาพทุกตัวน่าเวทนาอย่างหนัก
ทั้งป่วยและหิวโหย ด้านมูลนิธิเร่งเข้าช่วยเหลือ
พร้อมต่อสู้ทางกฎหมายเพื่อสิทธิครอบครอง
กล่องไม้ขนาดย่อมกล่องหนึ่ง ความสูงประมาณ 40 เซนติเมตร มีรูเจาะระบายอากาศอยู่รอบข้าง ถูกทิ้งอยู่ในสนามบินเบรุต เมืองหลวงของประเทศเลบานอน มันตั้งอยู่แบบนั้น ไม่มีใครสนใจ จนกระทั่งเวลาผ่านไป 7 วัน จึงมีคนเข้าไปเปิดดู แล้วก็ได้พบสิ่งที่น่าตกใจอยู่ในกล่องใบนั้น มันไม่ใช่ระเบิดหรืออาวุธร้ายแรง สิ่งที่พบเจอคือลูกเสือไซบีเรียน 3 ตัว นอนอัดกันอย่างน่าเวทนา
กล่องไม้ขนาดย่อมกล่องหนึ่ง ความสูงประมาณ 40 เซนติเมตร มีรูเจาะระบายอากาศอยู่รอบข้าง ถูกทิ้งอยู่ในสนามบินเบรุต เมืองหลวงของประเทศเลบานอน มันตั้งอยู่แบบนั้น ไม่มีใครสนใจ จนกระทั่งเวลาผ่านไป 7 วัน จึงมีคนเข้าไปเปิดดู แล้วก็ได้พบสิ่งที่น่าตกใจอยู่ในกล่องใบนั้น มันไม่ใช่ระเบิดหรืออาวุธร้ายแรง สิ่งที่พบเจอคือลูกเสือไซบีเรียน 3 ตัว นอนอัดกันอย่างน่าเวทนา
จากการรายงานของเว็บไซต์เดอะโดโด้
เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2560 ระบุว่า ไม่มีใครรู้ว่ามีเสืออยู่ในกล่องใบนั้น เนื่องจากไม่มีข้อมูลใด ๆ
ระบุอยู่บนกล่อง ไม่มีข้อความของผู้ส่ง ผู้รับ หรือแม้กระทั่งฉลากระบุว่ามีสัตว์มีชีวิตถูกบรรจุอยู่
แต่จากการตรวจสอบพบว่าลูกเสือเหล่านี้มาถูกส่งมาจากสวนสัตว์นิโคลาเยฟ ในประเทศยูเครน
มีจุดหมายปลายทางที่สวนสัตว์ซเมอร์ อัล ฮุสเซนาวี ในกรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย แต่เกิดเหตุขัดข้องระหว่างขนส่งทำให้ติดค้างอยู่ที่สนามบินเบรุต
มูลนิธิช่วยเหลือสัตว์แห่งเลบานอนได้ช่วยเหลือพวกมันไว้
ภายในกล่องเต็มไปด้วยเศษซากมูลสัตว์ มีหนอนขึ้นยั้วเยี้ย และมีแมลงวันเต็มไปหมด
ลูกเสือเหล่านี้มีอายุ 4
เดือน สภาพของพวกมันน่าเวทนามาก พวกมันหิวโหยอย่างหนัก ขาดน้ำ ไร้เรี่ยวแรง
และการถูกจับยัดในกล่องแคบ ๆ ทำให้พวกมันแทบจะลุกขึ้นยืนไม่ได้ด้วยซ้ำ
ทางมูลนิธิยื่นเรื่องขออำนาจทางกฎหมายในการรับลูกเสือเหล่านี้ไปเลี้ยงดู ผู้พิพากษาเห็นชอบเนื่องจากสภาพลูกเสือเลวร้ายมาก พวกมันจะต้องตายแน่ ๆ ถ้าไม่ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที ลูกเสือจึงถูกพาตัวไปยังมูลนิธิ พวกมันได้รับการตรวจร่างกายอย่างละเอียด สัตวแพทย์พบว่ามีเพียงลูกเสือตัวเดียวเท่านั้นที่มีไมโครชิปฝังอยู่ในตัว พวกมันทุกตัวอยู่ในสภาพที่แย่ เนื้อตัวเป็นโรคผิวหนัง มีแผลตกสะเก็ด ฝ่าเท้ามีรอยแผล มีอาการท้องเสีย อีกทั้งยังขาดน้ำและสารอาหาร
เจ้าหน้าที่มูลนิธิทำความสะอาดร่างกายพวกมัน ฉีดวัคซีน ให้ยาฆ่าเชื้อพร้อมกับให้พวกมันนอนพักพักผ่อน ลูกเสือได้รับตุ๊กตาของเล่นไปคนละตัว ได้กินอาหารและสภาพร่างกายก็เริ่มดีขึ้น ตอนแรกพวกมันไม่มีชื่อ เจ้าหน้าที่ที่ช่วยเหลือเรียกมันด้วยรหัส แต่ในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็ตั้งชื่อให้พวกมัน โดยตั้งตามชื่อกลุ่มคนที่ช่วยเหลือประสานในการพาพวกมันมาส่งยังมูลนิธิ
ลูกเสือตัวแรกเป็นเพศเมียถูกตั้งชื่อว่า เมย์ เมย์เป็นกลายเป็นพี่ใหญ่ในกลุ่ม มันเป็นตัวที่เริ่มกินอาหารเป็นตัวแรก และกล้าออกไปเดินสำรวจสิ่งแวดล้อมโดยรอบ อีกตัวเป็นเพศเมียเช่นกัน ชื่อทาเนีย ซึ่งมีความกล้าพอ ๆ กับเมย์ ส่วนตัวสุดท้ายเป็นเพศชายชื่อแอนตอน แอนตอนมีความแตกต่างจากสองสาวแบบลิบลับ มันเป็นลูกเสือขี้อาย ไม่ค่อยกล้าออกไปไหน
ทางมูลนิธิยื่นเรื่องขออำนาจทางกฎหมายในการรับลูกเสือเหล่านี้ไปเลี้ยงดู ผู้พิพากษาเห็นชอบเนื่องจากสภาพลูกเสือเลวร้ายมาก พวกมันจะต้องตายแน่ ๆ ถ้าไม่ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที ลูกเสือจึงถูกพาตัวไปยังมูลนิธิ พวกมันได้รับการตรวจร่างกายอย่างละเอียด สัตวแพทย์พบว่ามีเพียงลูกเสือตัวเดียวเท่านั้นที่มีไมโครชิปฝังอยู่ในตัว พวกมันทุกตัวอยู่ในสภาพที่แย่ เนื้อตัวเป็นโรคผิวหนัง มีแผลตกสะเก็ด ฝ่าเท้ามีรอยแผล มีอาการท้องเสีย อีกทั้งยังขาดน้ำและสารอาหาร
เจ้าหน้าที่มูลนิธิทำความสะอาดร่างกายพวกมัน ฉีดวัคซีน ให้ยาฆ่าเชื้อพร้อมกับให้พวกมันนอนพักพักผ่อน ลูกเสือได้รับตุ๊กตาของเล่นไปคนละตัว ได้กินอาหารและสภาพร่างกายก็เริ่มดีขึ้น ตอนแรกพวกมันไม่มีชื่อ เจ้าหน้าที่ที่ช่วยเหลือเรียกมันด้วยรหัส แต่ในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็ตั้งชื่อให้พวกมัน โดยตั้งตามชื่อกลุ่มคนที่ช่วยเหลือประสานในการพาพวกมันมาส่งยังมูลนิธิ
ลูกเสือตัวแรกเป็นเพศเมียถูกตั้งชื่อว่า เมย์ เมย์เป็นกลายเป็นพี่ใหญ่ในกลุ่ม มันเป็นตัวที่เริ่มกินอาหารเป็นตัวแรก และกล้าออกไปเดินสำรวจสิ่งแวดล้อมโดยรอบ อีกตัวเป็นเพศเมียเช่นกัน ชื่อทาเนีย ซึ่งมีความกล้าพอ ๆ กับเมย์ ส่วนตัวสุดท้ายเป็นเพศชายชื่อแอนตอน แอนตอนมีความแตกต่างจากสองสาวแบบลิบลับ มันเป็นลูกเสือขี้อาย ไม่ค่อยกล้าออกไปไหน
ตลอดเวลาที่ลูกเสืออยู่ที่นี่
พวกมันแข็งแรงขึ้น สุขภาพดีขึ้นแบบหน้ามือเป็นหลังมือ นิสัยร่าเริงสดใสกลับคืนมา
แต่ทั้งนี้สถานการณ์ก็ยังคงอยู่ในความเสี่ยง พวกมันอาจจะถูกเรียกตัวกลับยูเครน
หรือไม่ก็ส่งต่อไปยังดามัสกัสตามเดิม แต่ในขณะนี้มูลนิธิกำลังต่อสู้ทางกฎหมาย เพื่อให้ได้สิทธิในการครอบครองดูแลพวกมัน
ชีวิตของลูกเสือไซบีเรียนเหล่านี้น่าเศร้ามาก พวกมันถูกสวนสัตว์นำออกขายเพื่อแสวงผลกำไร "ตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา แม่ของพวกมันที่ยูเครนคลอดลูกออกมาทั้งหมด 12 ตัว 9 ตัวถูกขายให้กับผู้ซื้อภายนอกที่ไม่ระบุนาม มีเพียง 3 ตัวนี้เท่านั้นที่อยู่ที่นี่" เจสัน ไมเออร์ ผู้อำนวยการมูลนิธิกล่าวถึงที่มาที่ไปของลูกเสือเหล่านี้
"ถ้าเสือเหล่านี้ถูกนำไปขายในตลาดมืดแล้วละก็ มูลค่าของพวกมันสามารถสูงได้ถึงตัวละ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 345,000 บาท) ตอนนี้เจ้าของของพวกมันกำลังต่อสู้เพื่อให้ได้มันคืน และพวกเราก็ต่อสู้เช่นกัน สู้เพื่อชีวิตของพวกมันทุกตัว" เจสัน กล่าว
https://hilight.kapook.com/view/151538
No comments:
Post a Comment